Categories
ข่าว

รอลุ้นอนุมัติ!! “หม่อมเต่า” เผยบอร์ดประกันสังคม พิจารณาเยียวยา ปิดกิจการช่วงโควิด จ่ายทันที 9 พัน

วันที่ 13 เม.ย.63  ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า สถานการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอย่างรุนแรง สถานประกอบการจำนวนมากต้องทยอยปิดกิจการ และมีจำนวนผู้ตกงานจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ

โดยเฉพาะแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม ตามมาตรา 33 และมาตรา 40 ที่ต้องหยุดงานเพราะสถานประกอบการ นายจ้างต้องปิดกิจการชั่วคราวเพราะลูกค้าน้อยลงมาก หรือไม่มีลูกค้าจึงตัดสินใจหยุดดำเนินกิจการเพื่อลดภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างแรงงานในภาคท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ที่ยังมีปัญหาไม่ได้รับการช่วยเหลือชดเชยจากกองทุนประกันสังคม เนื่องจากถูกมองว่าปิดกิจการด้วยเหตุสุดวิสัย

อีกทั้งรัฐไม่ได้สั่งปิดเป็นการชั่วคราวจากเหตุสุดวิสัย จึงไม่สามารถขอช่วยเหลือเยียวยาที่กองทุนประกันสังคมจะจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานให้ร้อยละ 62 ของค่าจ้าง จนกว่าจะกลับมาเปิดกิจการอีกครั้งแต่ไม่เกิน 90 วันตามเกณฑ์ที่กำหนด

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 14 เม.ย. นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด) เพื่อพิจารณาช่วยเหลือเยียวยาให้กับแรงงานที่ตกงาน หรือต้องหยุดงานชั่วคราวจากการระบาดของโควิด-19 กลุ่มนี้ โดยมีประเด็นที่จะหยิบยกขึ้นพิจารณาดังนี้

คือ 1.โควิด-19 นั้น ถือว่าเป็น “เหตุสุดวิสัย” หรือไม่ เนื่องจากใน พ.ร.บ.ประกันสังคมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน บทบัญญัติกฎหมายไม่ได้ชี้ชัดว่า เหตุสุดวิสัยครอบคลุมถึงโรคระบาด ก่อนหน้านี้กระทรวงแรงงานจึงทำหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า จะสามารถจ่ายเงินเพื่อเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้หรือไม่

ซึ่งกฤษฎีกาให้คำตอบกลับมาว่า บอร์ดประกันสังคมสามารถเป็นผู้พิจารณาชี้ขาดได้เลยว่า การเกิดโรคระบาดอย่างโควิด เป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่ เพราะเป็นการระบาดวิกฤตรุนแรงไปทั่วโลกโดยไม่มีการคาดหมายมาก่อน

2.ประเด็นเรื่องศักยภาพของกองทุนประกันสังคมที่มีอยู่ขณะนี้ หากจะเยียวยาในส่วนนี้อาจจ่ายเงินเยียวยาให้ได้เพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น แต่หากสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย และอาจจะลากยาวไปถึง 6 เดือนหรือมากกว่านั้น จะสามารถนำเงินกองทุนประกันสังคม ซึ่งถูกแบ่งแยกตามภารกิจหน้าที่เป็น 4 ฟังก์ชั่น จากกองอื่นมาเฉลี่ยเพื่อจ่ายให้ผู้อยู่ในระบบประกันสังคมในภาวะที่มีความจำเป็นในสถานการณ์โควิดระบาดในขณะนี้ได้หรือไม่ เช่น การกู้ยืมเงินระหว่างกันได้หรือไม่ เป็นต้น

3.การบริหารกองทุนประกันสังคมในอนาคตภายหลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงแล้ว จะต้องบริหารอย่างไร รวมถึงการจัดกลุ่มของแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมตามฐานเงินเดือนตั้งแต่ 15,000 บาท ฐานเงินเดือนที่ 20,000-25,000 บาท และฐานเงินเดือนที่ 30,000 บาท มีจำนวนในแต่ละประเภทอยู่เท่าไหร่ เพื่อใช้วางแผนสำหรับอนาคตของประกันสังคมใหม่ เนื่องจากรายละเอียดที่บังคับใช้ภายใต้ พ.ร.บ.ประกันสังคมในปัจจุบัน ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะระดับฐานเงินเดือนที่สูงขึ้นกว่าเมื่อ 15 ปีก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ เมื่อประเมินเบื้องต้นพบว่ามีแรงงานที่ตกงาน หรือต้องหยุดงานชั่วคราว โดยรัฐไม่ได้สั่งให้หยุด แต่สถานประกอบการหรือนายจ้างหยุดกิจการเองจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 500,000 ราย

สำหรับเกณฑ์การพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาตามกฎหมายระบุว่า ต้องมีการจัดส่งเงินเข้าประกันสังคมอย่างน้อย 15 ปี ได้รับอยู่ที่ 62% จากฐานเงินที่ส่งเข้าประกันสังคมที่ 15,000 บาท ฉะนั้นเท่ากับว่า หากคำนวณแล้วจะต้องจ่ายอยู่ที่ราว 9,300 บาท ซึ่งหากบอร์ดประกันสังคมอนุมัติในสัปดาห์หน้า สามารถจ่ายเงินเยียวยาได้ทันที

“สำหรับเงินในกองทุนประกันสังคมนั้นในขณะนี้มีจำนวนเงินที่ทั้งลูกจ้าง นายจ้าง ผู้ประกันตน และจากรัฐบาล ทำให้มีเงินรวมค่อนข้างมากที่ 2 ล้านล้านบาท จะเห็นว่าวงเงินสูงมาก ในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งเป็นเงินที่แรงงานเป็นคนส่ง เพราะฉะนั้นหากใช้เงินก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แตกต่างจากการจ่ายภาษี ต้องจ่ายเฉพาะในส่วนที่มีความจำเป็นจริงๆ การช่วยเหลือจึงต้องช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม

ส่วนที่เหลือที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม แต่ได้รับผลกระทบจากโควิด ภาครัฐเข้ามาเยียวยาไปแล้วที่ 5,000 บาท เพื่อให้ผ่านในช่วงเศรษฐกิจที่ไม่ดี และยังได้รับผลกระทบจากโรคระบาดที่มองไม่เห็นอีก ภาครัฐจึงต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้ไม่ตกต่ำไปมากกว่านี้ การสร้างดีมานด์จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำก่อน” รมว.แรงงาน กล่าว

ม.ร.ว.จัตุมงคล กล่าวต่อว่า นอกเหนือจาก 3 ประเด็นที่จะมีการหารือของบอร์ดประกันสังคมแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงแรงงานอื่นๆ ที่ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเช่น กลุ่มที่ปิดกิจการไปก่อนหน้านี้ รวมถึงกลุ่มที่นายจ้างสั่งหยุดทำงาน แต่ยังจ่ายเงินเดือนอยู่ที่ 75% ของฐานเงินเดือนว่าจะมีมาตรการมาบรรเทาความเดือดร้อนในส่วนต่างรายได้ที่หายไปได้หรือไม่ และวิธีการจะเป็นอย่างไรด้วย

อีกทั้งในส่วนที่กระทรวงแรงงานทำควบคู่ขนานกันไปเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากโควิด-19 เช่น การใช้ศูนย์ฝึกอาชีพ โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศรวม 25 แห่ง ให้ฝึกอาชีพใหม่ๆ ให้กับผู้สนใจ เช่น ในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น กังวลเงินพร่องต้องหาเติม

นอกเหนือจากนี้ยังมีข้อกังวลที่กระทรวงแรงงาน จะต้องวางแผนรองรับคือ เงินจำนวน 2 ล้านล้านบาทของกองทุนประกันสังคม มีประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเงินบำนาญที่นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาลจ่ายมา 20-30 ปีแล้ว เป็นส่วนส่งเงินเข้าแต่ยังไม่มีการเบิก จนกระทั่งในปี 2563 นี้ เริ่มมีการเบิกจ่าย และประเมินว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีการเบิกเงินมากขึ้นเพราะครบอายุเกษียณ ขณะเดียวกันประชากรเริ่มน้อยลง ใน 30 ปีต่อจากนี้ จำนวนประชากรจะมีเหลือเพียง 46 ล้านคน ทำให้คนส่งเงินเข้าประกันสังคมจะลดน้อยลงไปด้วย

ดังนั้นจึงต้องวางแผนรองรับ โดยเฉพาะอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมในอนาคตจะต้องปรับ เนื่องจากเมื่อประเมินในระยะสั้นๆ นี้คือในอีก 7-8 ปีข้างหน้านี้จะมีการจ่ายเงินออกมากกว่าการส่งเงิน ยิ่งเมื่อประเมินระยะยาวไปจนถึง 30-40 ปีข้างหน้าอาจจะไม่มีเงินเหลือในกองทุนจะต้องดำเนินการอย่างไร รวมถึงบทบาทของประกันสังคมที่ควรมีมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

“เราต้องตั้งสมมุติฐานที่ว่า อีก 30 ปีข้างหน้า ฐานเงินเดือนของคนไทยจะสูงอย่างในบางประเทศ สวีเดน เขาเก็บเข้าตั้ง 34% เพราะว่าต้องการให้พอเหลือใช้ตอนเกษียณ สามารถทำ module ว่าในอนาคตควรจะจัดเก็บเงินในอัตราอย่างไร แต่ยังไม่นับรวมกับสถานการณ์โควิด-19 ที่เรามองว่าเราเหมือนถูกรถชน บางอย่างก็เป็นเฉพาะเรื่อง เพราะเงินจริง ๆ ก็ไม่ใช่มากนัก

แต่ปัญหาคือในอีก 30 ปีข้างหน้าจะมีการจ่ายเงินมาก แต่มีคนส่งเงินเข้ามาน้อย ต้องวางแผนให้ดี เงินในส่วนใดที่จะหมดก่อนอาจจะต้องมาโฟกัสการเก็บเพิ่มก่อน จะปรับเพิ่มขึ้นพร้อมกันทั้งหมดไม่ได้ ซึ่งเร็วๆ นี้จะต้องนำเสนอวิธีการบริหารกองทุนประกันสังคมให้รัฐบาลพิจารณาด้วย” รมว.แรงงาน กล่าว