Categories
ข่าว

หึงโหด! ด.ต.กลับจากคุมม็อบฯ บุกยิงเมียเก่าสาหัส เพื่อนดั บ 2 ศพ กลางร้านอาหารบุรีรัมย์

เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วันที่ 29 พ.ย 2563 ร.ต.อ.สมจิตร ชุ่มเสนา รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกัน ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งในเขตเทศบาล ต.โนนสุวรรณ ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ 200 เมตร มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย จึงรายงาน พ.ต.อ.ชวาล อุทัยพันธุ์ ผกก.สภ.โนนสุวรรณ และผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น ก่อนจะประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน แพทย์เวร รพ.โนนสุวรรณ และหน่วยกู้ภัยฯ ร่วมตรวจสอบ

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุเป็นห้องแถวชั้นเดียว เปิดเป็นร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มชื่อร้าน “กินข้าว บ้านเพื่อน” ตั้งอยู่เลขที่ 159/3 ต.โนนสุวรรณ อ.โนนสุวรรณ พบนายจรัญ สุขวงกฎ อายุ 42 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนตามลำตัวและหน้าผากรวม 9 นัด ไม่มีสัญญาณชีพจร และนางสมคิด สุขวงกฎ อายุ 37 ปี ภรรยานายจรัญถูกยิงบริเวณตามร่างกายรวม 6 นัด ถูกนำส่ง รพ. ก่อนทั้งคู่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา

นอกจากนี้ พบผู้บาดเจ็บสาหัส 1 ราย คือ น.ส.นุชจรินทร์ แก้วจัตุรัส อายุ 42 ปี พยาบาลวิชาชีพ รพ.โนนสุวรรณ ถูกยิงบริเวณโหนกแก้ม 1 นัด ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกนำตัวส่ง รพ.โนนสุวรรณ ก่อนจะส่งไปรักษาต่อที่ รพ.ศูนย์บุรีรัมย์ ในที่เกิดเหตุพบกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่ 3 นัด และปลอกกระสุนอีกจำนวนหลายปลอก

โดยมีนายสิทธิพันธ์ บุตรศรี นายอำเภอโนนสุวรณ พร้อมด้วยนายต่อสกุล พุทธพักตร์ ปลัดฝ่ายความมั่นคง เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุในครั้งนี้ด้วย เนื่องจากเป็นเหตุการณ์อุจฉกรรจ์สะเทือนขวัญ และผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ให้ข้อมูลว่า ผู้ที่ก่อเหตุใช้อาวุธปืนกระหน่ำยิงทั้ง 3 คน คือ ด.ต.อร่าม สังข์ชัย อายุ 44 ปี ผู้บังคับหมู่ป้องกันปราบปราม สภ.โนนสุวรรณ ช่วยราชการพนักงานวิทยุ สภ.โนนสุวรรณ ซึ่งเป็นอดีตสามีของ น.ส.นุชจรินทร์ พยาบาลที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ

สอบถาม น.ส.สุวรรณี เย็นรักศรี อายุ 38 ปี ลูกค้าที่มานั่งรับประทานอาหารภายในร้าน กล่าวว่า ตนเป็นเพื่อนร่วมงานกับน.ส.นุชจรินทร์ ระหว่างที่กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้าน ด.ต.อร่าม ซึ่งตนก็รู้จัก ได้เดินเข้ามา แล้วใช้ปืนกระหน่ำยิงภายในร้านหลายนัด ตนกับเพื่อนจึงหมอบลงกับพื้น ก่อนออกมาจากร้าน ตนก็ถาม ด.ต.อร่าม ว่าทำไมถึงทำแบบนี้ เขาตอบว่าไม่มีอะไร แล้วเอาปืนเหน็บหลัง และขับขี่รถจักรยานยนต์ออกไป

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามตัว ด.ต.อร่าม พบว่าเก็บตัวอยู่ในบ้านพักกับลูกสาวอายุประมาณ 20 ปี ทาง พ.ต.อ.ชวาล อุทัยพันธุ์ ผกก.สภ.โนนสุวรรณ จึงเดินทางมาเกลี้ยกล่อมนานกว่า ชั่วโมง ด.ต.อร่าม จึงยอมมอบตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวไปสอบสวนที่ สภ.โนนสุวรรณ เบื้องต้นคาดว่า น่าจะเกิดจากความหึงหวง

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ด.ต.อร่าม ผู้ก่อเหตุได้หย่าร้างกับ น.ส.นุชจรินทร์ ผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นอดีตภรรยา แต่ยังอยู่บ้านหลังเดียวกัน เพราะมีลูกด้วยกัน 2 คน ซึ่ง ด.ต.อร่าม เพิ่งเดินทางกลับมาจากไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความเรียบร้อยเหตุชุมนุมที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่า ด.ต.อร่าม อาจจะหึงหวงอดีตภรรยา จึงก่อเหตุดังกล่าวขึ้น

ส่วนสองสามีภรรยาที่ถูกยิงเสียชีวิตทราบว่าได้หุ้นกันเปิดร้านอาหารที่เกิดเหตุกับ น.ส.นุชจรินทร์ ผู้บาดเจ็บ เจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง เพราะขณะนี้ผู้ต้องหายังอยู่ในอาการเครียด เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา ด.ต.อร่าม “ฆ่าคนตายโดยเจตนา”

จากการสอบถาม นางวรรณ (นามสมมติ) อายุ 63 ปี เพื่อนบ้านใกล้ร้านอาหาร กล่าวว่า นางนุจรินทร์ ภรรยาของดต.อร่าม อยู่กินกันมีลูก 2 คน โดยคนโตเป็นลูกสาวอายุ 20 ปี ส่วนคนเล็กเป็นลูกชายอายุ 14 ปี ทั้งสองได้หย่าร้างกันมาประมาณ 8 ปี ที่ผ่านมาลูกทั้งสองมาอยู่กับนางนุจรินทร์ โดยด.ต.อร่าม ได้ตามมาง้อแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผล

“จากที่ทราบนางนุจรินทร์กับสองสามีภรรยา รวม 3 คน จะสนิทสนมกันมาก ไปไหนด้วยกัน จนชาวบ้านมองว่ามีอะไรลึกซึ้งกันหรือไม่ และเมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ก็ได้มาเปิดร้านอาหารด้วยกัน โดยทั้ง 3 คน เริ่มอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยขึ้น แต่ละคนจะแบ่งหน้าที่กันทำงานในร้านอาหาร โดยมีอดีตสามีของนางนุจรินทร์มาตามง้อที่ร้านอาหารเป็นระยะ แต่นางนุจรินทร์ไม่ยอมกลับไปคืนดีด้วย จนกระทั่งมาก่อเหตุดังกล่าว” นางวรรณ กล่าว

ด้าน นางไพ (นามสมมติ) อายุ 64 ปี แม่ของนายจรัญที่ถูกยิงเสียชีวิต กล่าวว่า ลูกชายมีอาชีพทำไร่ยาง ไร่มัน มีลูกด้วยกันกับภรรยา 2 คน อยู่ในบ้านหลังปัจจุบัน ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นนางนุจรินทร์มาอยู่ด้วยที่บ้านหลังนี้ แต่รู้จักกัน สนิทสนมกัน ส่วนเรื่องส่วนตัวยอมรับไม่รู้ เพราะลูกชายไม่เคยเล่าอะไรให้ฟัง หากด.ต.อร่ามจะมาขอขมาศพ ตนก็ไม่ขัดข้อง แต่อยากให้กฎหมายลงโทษให้สูงสุด เพราะเป็นการก่อเหตุรุนแรง จนลืมไปว่ามีเด็ก ๆ ที่ต้องกลายเป็นลูกกำพร้าอีกหลายคน