วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 พ.ต.ต.กิตต์ทัพพ์ อาชีวะนันท์ สว.สอบสวน สภ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี รับแจ้งเหตุลูกชายคลั่งและหลอนยาบ้า ก่อเหตุใช้อาวุธมีดพร้าฟันคอพ่อและแม่เสียชีวิตอยู่ภายในโรงเก็บหน่อไม้ หลังบ้านเลขที่ 14 ม.3 บ.เหล่ากล้วย ต.เสอเพลอ อ.กุมภวาปี
ไปที่เกิดเหตุ พบผู้ก่อเหตุนั่งรอมอบตัวพร้อมกับมีดพร้ายาวประมาณ 60 ซม.ที่ใช้ก่อเหตุ อยู่บริเวณหน้าบ้านด้วยอาการเมายาบ้า พูดจาวกวน มีชาวบ้านและญาติพี่น้องมายืนมุงดูจำนวนมาก ส่วนภายในห้องนอนพบศพ นายพิสิฐ บุญโยรัตน์ อายุ 73 ปี และนางละออง บุญโยรัตน์ อายุ 67 ปี สามีภรรยา นอคว่ำหน้าเสียชีวิตอยู่ข้างที่นอนใกล้กับประตูทางเข้า สภาพศพลำคอด้านหลังถูกมีดพร้าฟันหลายครั้งจนคอเกือบขาดทั้ง 2 คน เลือดไหลนองเต็มพื้น เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 12 ชั่วโมง มีร่องรอยการต่อสู้ ที่นอนมุ้งหมอนและข้าวของกระจัดกระจาย
ส่วนคนก่อเหตุ คือ นายปิยะพงษ์ บุญโยรัตน์ อายุ 41 ปี ลูกชายคนสุดท้องของผู้ตาย และเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวจากพี่น้องร่วมท้องเดียวกันรวม 4 คน ตรวจสอบบริเวณข้างบ้านที่เกิดเหตุพบร่องรอยการขุดหลุมขนาดใหญ่ 2 หลุม ที่ผู้ต้องหารับสารภาพว่าเป็นคนขุดไว้ฝังพ่อกับแม่ หลังสำนึกผิดในสิ่งที่ตนกระทำด้วยความขาดสติและฤทธิ์ของยาบ้า
สอบสวนนางคำบง บรรจงรัตน์ อายุ 48 ปี และนางอนงค์ ใจมั่น อายุ 50 ปี ลูกสาวคนโต และคนที่สองผู้เสียชีวิต พี่สาวของผู้ต้องหา ให้การว่า น้องชายติดยาบ้ามานานเกือบ 3 ปี ที่ผ่านมาอาการไม่หนักถึงขั้นนี้ แต่มาระยะหลังน้องชายชอบจูงควายที่แม่ซื้อมาให้เลี้ยงไปรอบหมู่บ้าน พร้อมกับพูดจาคนเดียว บางวันก็เอะอะโวยวาย ตนและพี่สาวกลัวจึงย้ายไปอยู่ที่สวน และบอกพ่อกับแม่ย้ายบ้านไปอยู่ด้วยกัน แต่พ่อกับแม่ไม่ยอมไป พร้อมกับยกบ้านให้น้องชายอยู่คนเดียว ส่วนพ่อแม่มาอาศัยโรงเก็บหน่อไม้หลังบ้านใช้เป็นที่หลับนอน
กระทั่งมาช่วงเช้าวันนี้ไม่เห็นพ่อและแม่ออกมาจากบ้าน โทรหาก็ไม่รับสาย จึงใช้หลานชายมาดู พบว่าน้องชายฆ่าพ่อแม่เสียชีวิตจมกองเลือดอยู่ในบ้านแล้ว ซึ่งขณะนั้นน้องชายยังอยู่ในอาการคล้ายคนเมายาขาดสติ หลังจากฆ่าพ่อและแม่แล้วยังมานั่งหัวเราะถือมีดพร้าอยู่หน้าบ้าน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
“น้องชายอ้างว่าพ่อกับแม่จะใช้ปืนและมีดฆ่าควายให้ตาย ซึ่งไม่เป็นความจริง พ่อกับแม่ซื้อควายเพศเมียมาให้น้องชายเลี้ยงก็เพื่อจะให้น้องมีทรัพย์สินเก็บไว้ในอนาคตข้างหน้า เพราะควายจะตกลูกทุกปี และถือว่าเป็นอาชีพสุจริตอย่างหนึ่ง หลังจากน้องถูกไล่ออกจากงานเพราะเสพยาบ้า และทุกวันนี้น้องชายก็อาศัยกินอยู่กับพ่อแม่ ไม่มีเงินใช้ พ่อแม่ก็ให้เพราะรักน้องมาก เพราะเป็นลูกชายคนเดียวและเป็นคนสุดท้องด้วย ขณะเกิดเหตุไม่มีใครได้ยินเสียง เนื่องจากบริเวณบ้านมีเนื้อที่กว้าง และพี่ๆ น้องๆ ก็ย้ายไปอยู่บ้านสวนและบ้านญาติ ได้พยายามติดต่อและบอกให้พ่อแม่ย้ายไปอยู่กับพวกเรา แต่พ่อแม่ไม่ยอมไปอยู่ด้วย อ้างว่าลูกชายคงไม่กล้าทำอะไรพ่อกับแม่ แล้วก็มาเกิดเหตุที่พวกเรากลัวเกิดขึ้นจนได้ ก็เพราะพิษสงของยาบ้า”
ด้าน นายกิตติ นาทันตอง อายุ 56 ปี ผู้ใหญ่บ้านเหล่ากล้วย เปิดเผยว่า ปกติผู้ก่อเหตุเป็นคนนิสัยดี แต่ระยะหลังมาติดยาบ้า และเมื่อเมายาจะมีอาการหลอน เอะอะโวยวาย ทุกครั้งตนและตำรวจมาว่ากล่าวตักเตือนซึ่งก็ยอมสงบสติอารมณ์ทุกครั้ง จนกระทั่งช่วงค่ำวานนี้ผู้ก่อเหตุได้จูงควายไปบอกกับตนให้เป็นพยานว่า ควายตัวนี้เป็นของเขา ไม่ใช่ของพ่อแม่ เพราะเขาเป็นคนเลี้ยง ก่อนจะจูงควายกลับบ้าน พอตอนเช้าก็ได้รับแจ้งว่ากลับไปก่อเหตุฆ่าบุพการีตายทั้ง 2 คน
ต่อมา พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี พ.ต.อ.พันธุ์เพชร เหล่ากำเนิดเพชร ผกก.สส.ภ.จว.อุดรธานี นำชุดสืบสวน ภ.จ.อุดรธานี มาสอบสวนปากคำคนร้ายและทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ เริ่มจากการใช้เท้าถีบพังประตู 3 ครั้ง เข้าไปใช้มีดพร้าฟันคอแม่และพ่อจนเสียชีวิต ขณะพ่อและแม่ปิดไฟนอนหลับอยู่ภายในห้องนอนในเวลาประมาณ 21.00 น. คืนวันที่ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมา และชี้จุดขุดหลุมเพื่อเตรียมตัวฝังพ่อและแม่ ก่อนนำตัวไปกราบขอขมาศพบริเวณประตูหน้าบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งยังคงมีอาการคล้ายกับคนเมายาลขาดสติไม่รู้ถูกรู้ผิดในสิ่งที่กระทำต่อบุพการี
พล.ต.ต.พิษณุ กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นคนใช้มีดพร้าฟันคอแม่และพ่อหลายครั้งจนเสียชีวิต ส่วนสาเหตุที่ลงมือฆ่าบุพการี ผู้ต้องหาอ้างว่าพ่อและแม่ไม่ให้นำควายที่พ่อและแม่ซื้อให้เลี้ยงมา 2 ปี ซึ่งขณะนี้กำลังตั้งท้องไปขาย เนื่องจากลูกชายติดยาบ้าจึงซื้อควายมาให้เลี้ยง แต่ลูกชายจะนำควายไปติดต่อขาย ซึ่งพ่อกับแม่ไม่ให้ขาย และบอกหากนำไปขายจะฆ่าควายให้ตาย กระทั่งช่วงหัวค่ำวานนี้คนร้ายจึงจูงควายไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านว่าพ่อกับแม่จะฆ่าควายของตน จึงขอให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นพยาน และนำควายไปฝากไว้ที่คอกเพื่อนบ้าน ก่อนกลับมาก่อเหตุใช้มีดพร้าฟันคอแม่กับพ่อจนเสียชีวิต ในเบื้องต้น ได้แจ้งข้อหา “ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา และฆ่าบุพการี” ส่วนเรื่องยาเสพติดจะรอผลตรวจยืนยันอีกครั้ง.