วันที่ 27 ก.ค.64 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2564 ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2564 เพื่อเป็นการแสดงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมควรพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อให้โอกาสแก่บุคคลเหล่านั้นกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี อันจะเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไป
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 175 และมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา 261 ทวิ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2517 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้
ทั้งนี้ ในพระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2564 มาตรา 5 ระบุว่า ผู้ต้องหาโทษดังต่อไปนี้ ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว ได้แก่
1.ผู้ต้องกักขัง
2.ผู้ทำงานบริการสังคมหรือทางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ
3.ผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ
โดยกรณีของผู้ต้องขัง ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว
-ต้องเป็นผู้พิการตาบอดทั้ง 2 ข้าง แขนและขาด้วนทั้ง 2 ข้าง เข้าข่ายผู้ทุพพลภาพ
-เป็นผู้ป่วยโรคอัมพาต โรคสมองเสื่อม โรคจิต โรคปอดอุดกั้นเรื้อรั้งขั้นรุนแรง โรคตับโรคไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (โรคเอดส์) โรคโลหิตจางจากไขกระดูกไม่สร้างเม็ดโลหิต หรือโรคเรื้อน หรือเป็นคนเจ็บป่วยซึ่งมีภาวะติดเตียง หรือมีโรคที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่จำเป็นต้องรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
-เป็นคนเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายหรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (โรคเอดส์) ระยะสุดท้าย
-เป็นคนเจ็บป่วยซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่าหกสิบปีบริบูรณ์ในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ และไม่สามารถจะรักษาในเรือนจำได้ จำเป็นต้องรักษาในสถานพยาบาลของเรือนจำ หรือสถานพยาบาลภายนอกเรือนจำอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
-เป็นผู้ต้องขังหญิงต้องโทษจำคุกครั้งแรก ต้องได้รับโทษจำคุกไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของโทษตามกำหนด
-เป็นผู้ต้องขังที่อายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ และต้องได้รับโทษไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของโทษที่กำหนด
-เป็นผู้ต้องขังที่เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
-เป็นนักโทษชั้นเยี่ยมที่เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี
