Categories
ข่าว

“จุรินทร์” เจรจาขอซื้อหน้ากากอนามัยจากจีน หลังไทยผลิตไม่พอใช้

เวลา 10.00 น. วันที่ 11 มี.ค. 63 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์, นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข, นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ แบละนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน หารือกับ นายหยาง ซิน อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย


หลังการหารือ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ได้เชิญท่านอุปทูต หารือเรื่องที่จีนมีนโยบายที่จะให้ความช่วยเหลือกับมิตรประเทศ เพราะสถานการณ์ โควิด-19 ในจีนขณะนี้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น โดยท่านอุปทูตแจ้งว่า ประเทศไทยถือเป็นมิตรประเทศ และได้สอบถามว่าต้องการให้ช่วยเหลืออะไรบ้าง ตนจึงแจ้งว่าสิ่งที่เราอยากได้จากประเทศจีนไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือหรือการที่จะซื้อจากจีนคือ

1.หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากที่ใช้ทางการแพทย์ที่เรามีกำลังการผลิตเพียงวันละ 1.2 ล้านชิ้น
2.หน้ากากแบบ N95 (ขนาดหนา)
3.ชุด PPE (Personal Protection Equipment) หรือชุดคลุมทั้งตัวที่ต้องใช้ในห้องติดเชื้อ ซึ่งมีความจำเป็นมากสำหรับประเทศไทย
4.ชุดคัดกรองไวรัส โควิด-19 ที่สามารถตรวจในสถานที่ต่างๆ ได้เลยไม่ต้องรอส่งไปห้องแล็บ
5.ขอให้จีนผ่อนคลายเรื่องการส่งออกวัตถุดิบต่างๆ ที่เรามีความจำเป็นที่จะต้องใช้ รวมทั้งเรื่องราคาที่ขยับขึ้นไปสูงมาก

ด้านนายหยาง ซิน อุปทูตจีน กล่าวว่า จีนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและพี่น้องคนไทยมากมายทั้งกำลังใจและสิ่งของต่างๆ ที่ช่วยเหลือในการทำสงครามกับ โควิด-19 จนปัจจุบันนี้มีข่าวดีคือมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดน้อยลงมากสถานการณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ และจีนมีประสบการณ์ในการทำสงครามกับ โควิด-19 และเรามีกำลังเพียงพอที่จะช่วยเหลือมิตรประเทศต่อ ซึ่งเราซาบซึ้งใจในไมตรีจิตของรัฐบาลไทยและพี่น้องคนไทยหลังจากที่จีนประสบความยากลำบาก

“วันนี้ผมมาเพื่อที่จะรับทราบสถานการณ์ของไทยว่าเป็นอย่างไรบ้างความต้องการของรัฐบาลไทยมีอะไรบ้าง สถานทูตเราจะพยายามทำเท่าที่ทำได้ นอกจากรักษาผู้ป่วยที่ประเทศจีนแล้วเราจะพยามช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำสงครามกับ โควิด-19 และก่อนหน้านี้จีนกับไทยแลกเปลี่ยนวิธีการรักษาระหว่างทีมแพทย์จีนกับไทยมาโดยตลอด ได้มาพบและคุยเรื่องยา หลังจากนี้เรื่องวัตถุดิบประเทศจีนยินดีที่จะช่วยเหลือ”

ขณะที่นายจุรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องหน้ากากอนามัยที่เราผลิตได้วันละ 1,200,000 ชิ้น มีสองแนวทางที่จะดำเนินการต่อ คือ 1.การขอความสนับสนุนจากรัฐบาลจีน 2.เร่งรัดประสานงานกับโรงงานผลิตทั้ง 11 แห่ง ว่าจะเปลี่ยนไลน์การผลิตสินค้าชนิดอื่นมาผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ได้หรือไม่ ซึ่งมีบางแห่งสามารถจะปรับเปลี่ยนได้