เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.63 ที่รัฐสภา นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ตนอยู่สภาฯ มาตั้งแต่ปี 44 ถือเป็นครั้งแรกที่โอนงบแบบนี้ ตนเห็นด้วยที่ว่าจำเป็นต้องหาเงินไปช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากปัญหาโควิด แต่การใช้เงินเที่ยวนี้ต้องระวัง รอบคอบ เพราะเงินที่นำไปใช้ต้องเกิดประโยชน์สูงสุด
ทั้งนี้ คิดว่าการโอนงบไม่โปร่งใส ส่วนที่ควรจะตัดไปช่วยแก้ปัญหาโควิดก็ไม่ตัด ส่วนที่ไม่ควรตัดก็ตัดทิ้ง เช่น โครงการก่อสร้างยกระดับมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง 4 โครงการ งบกว่า 200 ล้านบาทใน จ.มหาสารคาม ซึ่งผู้ชนะเป็นผู้รับเหมารายเดิม คือ หจก.บางระบือพรเทพฯ น่าแปลกใจที่มีผู้ยื่นซองเพียงรายเดียว ประมูลต่ำกว่าราคากลางแค่ 1.5 หมื่นบาทเกือบทุกโครงการ อาจมีการล็อกสเปคโดยผู้รับเหมาต้องเป็นชั้นพิเศษ มีผลงานการบำรุง จะต้องมีโรงงานผสมแอสฟัลต์รัศมีไม่เกิน 100 กิโลเมตร จากรัศมีก่อสร้าง คนอื่นก็มาแข่งขันไม่ได้ ถึงได้ผู้รับเหมารายเดียวทั้งจังหวัด
นายยุทธพงศ์ อภิปรายต่อว่า ส.ส.ทั้งจังหวัดมหาสารคาม ทำหนังสือถึงผู้ว่าฯ มหาสารคามขอให้ทบทวนและสอบภายใน 7 วัน ถึงวันนี้ผู้ว่าฯ ยังเงียบ สุดท้ายมีการเซ็นสัญญาไปเรียบร้อยทั้ง 4 สัญญา ทำแบบนี้แสดงว่าผู้ว่าฯ ไม่กลัวป๋าฉิ่ง สืบเบื้องหลังแล้วพบว่ามีบิ๊กการเมืองในกระทรวงมหาดไทยและคมนาคมเป็นผู้สั่งการอยู่เบื้องหลัง ทำให้ผู้ว่าฯ ไม่กลัว แม้ว่าป๋าฉิ่งจะให้ตรวจสอบแล้ว
“ดังนั้น ที่ผู้ว่าฯ หดหัวไม่กล้าตรวจสอบทั้งที่ ส.ส.ทั้งจังหวัดไปร้องเรียน ผู้ว่าฯ ยังเฉยเพราะเหตุนี้หรือไม่ ไหนนายกฯ บอกว่าใครโกงจะจัดการ ตนมาบอกขนาดนี้แล้วจะจัดการหรือไม่ ดังนั้นขอให้นายกฯ สั่งการ รมว.มหาดไทย ไปตรวจสอบว่าใครสั่งการอยู่เบื้องหลัง นี่คือตัวอย่างของความไม่โปร่งใส” นายยุทธพงศ์ กล่าว
จากนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ชี้แจงว่า โครงการดังกล่าวเป็นงบจากกลุ่มจังหวัด โดยผู้ว่าฯ มหาสารคาม ได้มอบอำนาจให้กรมทางหลวงดำเนินการ และส่งต่อไปให้แขวงการทางเป็นผู้ดำเนินการ และมีบริษัทแห่งหนึ่งสามารถประมูลได้งานตามที่นายยุทธพงศ์กล่าว ซึ่งขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนให้ผู้ว่าฯ ยกเลิกสัญญา แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ ทางปลัดกระทรวงมหาดไทยจึงให้ฝ่ายตรวจสอบไปดำเนินการแล้ว หากผลออกมาอย่างไร จะแจ้งให้ทราบต่อไป