ภายหลังโควิดฯ ระลอกเดือน เม.ย.2564 เริ่มแพร่ระบาดเป็นวงกว้างมากขึ้น สถานการณ์ธุรกิจโรงแรมภายในประเทศเริ่มทรุดหนัก จากการประเมินอย่างไม่เป็นทางการ พบว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยลดลงจากเดือน มี.ค.เหลือเพียง 5% และโรงแรมกว่า 80% อาจงดให้บริการชั่วคราวไปจนถึงเดือน ต.ค.จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง หรือจนกว่ารัฐบาลจะมีการกระจายวัคซีน เพื่อฉีดให้คนไทยมากพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
ทั้งนี้สมาคมโรงแรมไทย ได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่พักแรมเดือนใน มี.ค.2564 ก่อนการระบาดระลอก 3 จากการสำรวจโรงแรม จำนวน 128 แห่ง พบว่ามีการเปิดกิจการเพียง 48% และเปิดให้บริการบางส่วน 41% ขณะที่ 11% ปิดกิจการ โดยโรงแรมขนาดใหญ่สายป่านยาวเท่านั้น ที่ยังเปิดกิจการ ส่วนโรงแรมที่ปกติรับเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะนี้ปิดกิจการลงแล้วทั้งหมด
เมื่อสำรวจสภาพคล่องของโรงแรมในเดือน มี.ค.โรงแรมส่วนใหญ่ ระบุว่า มีสภาพคล่องดำเนินธุรกิจไม่เกิน 3 เดือน หรือหากเปิดดำเนินการจะมีเงินจ่ายพนักงานได้แค่เดือน พ.ค.นี้เท่านั้น ส่วนการจ้างงานขณะนี้มีการจ้างงานเพียง 55% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิดฯ โดยโรงแรมในภาคใต้กลับมาสร้างงานน้อยที่สุดประมาณ 40% ของอัตราจ้างงานช่วงก่อนการระบาด โดยนโยบายการจ้างงานส่วนใหญ่นั้น ยังคงเป็นการให้ลางานโดยไม่รับค่าจ้าง หรือใช้วันลาประจำปี รวมถึงสลับกันมาทำงาน
“การระบาดระลอก 3 กระทบโรงแรมอย่างหนัก ซ้ำเติมสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้ว สมาคมโรงแรมไทยเตรียมสำรวจลมหายใจของโรงแรมอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรมเริ่มเห็นสัญญาณการท่องเที่ยวที่จะกลับมา และคาดกันว่าการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจะกลับมาชัดเจน และเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้งประมาณปี 2566 โดยกลุ่มโรงแรมหรู กลุ่มลักชัวรีจะกลับมาเร็วกว่าอุตสาหกรรมคือปี 2565 แต่หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการระบาดระลอก 3 ได้ โอกาสที่โรงแรมจะฟื้นคืนชีพได้นั้น คงยากและต้องยืดเวลาออกไป”