วันที่ 17 ก.พ.65 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลุกขึ้นชี้แจงหลัง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป ย้ำว่าขณะนี้มีหลายสถานการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน รัฐบาลพยายามแก้ปัญหา ด้วยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เพื่อให้ ผ่านพ้นวิกฤตให้ได้ โดยคณะรัฐมนตรี ทุกคนพร้อมชี้แจง เพื่อให้ประชาชนทราบข้อมูล ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ และความเชื่อมั่นของคนทั้งประเทศที่ให้ความสนใจในขณะนี้
“ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ ฝ่ายค้านเคยบอกว่า ตนเข้ามาในสภาควรวางบทบาทให้เหมือนรามเกียรติ์ คือให้นานกรัฐมนตรี เป็นพระราม พระลักษณ์ และอีกฝ่ายเป็นทศกัณฐ์ แต่ส่วนตัวคิดว่าประเทศชาติไม่ใช่รามเกียรติ์ และเป็นที่ทราบดีว่าท้ายที่สุดจุดจบทศกัณฐ์เป็นอย่างไร ซึ่งตนจะไม่กล่าวอะไรให้เป็นความขัดแย้งหรือไม่พอใจกันอีก จะระมัดระวังอย่างที่สุด”
พล,อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลเดิมเมื่อในปี 2557 ทุกคนเข้ามาตามรัฐธรรมนูญ มีเพียง 4 คน ที่ซ้ำกับรัฐบาลเดิม ส่วนอีก 32 คน เป็นคนใหม่ นโยบายจึงต้องแตกต่างกัน ยืนยันสามารถชี้แจงได้ทุกประเด็น สำหรับการแก้ไขสถานการณ์โรคโควิด-19 วันนี้รัฐบาลสามารถจัดหาวัคซีนได้เพียงพอ แม้ช่วงแรกอาจมีปัญหาเรื่องวัคซีนยังไม่พร้อม ความไม่แน่นอนของวัคซีนแต่ละประเภท ตอนนี้ทุกอย่างมีพร้อมแล้ว จัดหาได้ครบถ้วน ทำให้ประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ส่วนประเด็นเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปี 2564 ประเทศไทยสามารถฉีดวัคซีนได้เกิดเป้าหมายที่วางไว้ 100 ล้านโดส ซึ่งวัคซีนที่จะเข้ามาในประเทศไทยจะต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐบาล หากไม่ตรวจสอบและคัดกรองให้ดีรัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบ
ส่วนเรื่องโรคระบาดในสัตว์ ราคาเนื้อหมูแพงนั้น นายกรัฐมนตรีย้อนถามกลับว่า วันนี้ยังแพงอยู่หรือไม่ มีการแก้ไขอย่างไร ปัญหาเกิดจากที่ไหน มีคำอธิบายทั้งหมด ส่วนปัญหาปกปิดช่อมูล ด้วยเหตุผลอะไร ถึงมีการกักเก็บเนื้อหมูไว้จำนวนมาก ยืนยันจะต้องลงโทษตามกฎหมาย และไม่ได้สนับสนุนผู้ค้ารายใหญ่ รัฐบาลต้องการให้ผู้ค้ารายย่อยเข้มแข็งที่สุด ทุกอย่างต้องอยู่ในกติกา เช่นเดียวกับ เรื่องราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ที่ผ่านมามีสูงขึ้น-ต่ำลง ตามความต้องการตลาดและฤดูกาล วันนี้ให้ตรวจสอบทุกชนิด หลายอย่างแก้ปัญหาได้ทันที ตนไม่เคยโทษใคร มีแต่ให้ทุกคนมาร่วมมือกันทำงาน
สำหรับเรื่องการบริหารงานและส่อไปในทางทุจริตกระทบต่องบประมาณ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า “ตนไม่เคยทุจริต ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต”